วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

เรื่องราวของ แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ แลมพ์ (Frank Lampard) Vol.1

ถ้าพูดถึงนักฟุตบอลกองกลางตัวทำเกมที่ดีที่สุดในอังกฤษเวลานี้คงจะไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า "แฟรงค์ แลมพาร์ด" หรือ "แลมพ์" กองกลางตัวเก๋าของทีมเชลซี เป็นผู้เล่นที่ทำเกมได้โดดเด่นที่สุด จากผลงานที่แลมพาร์ดนำทีมเชลซีผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกนั้น ได้แสดงถึงการเป็นกองกลางตัวเชื่อมเกมที่มีความสามารถแบบหาตัวจับยาก แม้บทบาทหลักของแลมพาร์ดคือ คนคุมเกมกลางสนาม แต่เมื่อไหร่ที่มีโอกาสทำประตู ก็สามารถยิงลูกสวยๆ เอาใจแฟนบอลได้อย่างไร้ที่ติ
แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ แลมพ์ (Frank Lampard) Vol.1
แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ แลมพ์ (Frank Lampard) Vol.1
แลมพาร์ดจึงถือได้ว่าเป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถรอบด้าน บวกกับการเล่นสไตล์ดุดันที่ซื้อใจแฟนบอลได้ดี เพราะเขาทำเกมสนุกๆ ให้ผู้ชมได้เฮได้เสมอ แถมยังเป็นขวัญใจสาวๆ ที่โหวตให้หนุ่มคนนี้เป็นหนุ่มเซ็กซี่คนนึงในวงการกีฬาแบบที่หาใครจะเทียบได้


แฟรงค์ แลมพาร์ด หรือ แลมพ์ (Frank Lampard) Vol.1

แฟรงค์ แลมพาร์ด ชื่อเต็มของเขาคือ Frank James Lampard Jr.(แฟรงค์ เจมส์ ปลมพาร์ด จูเนียร์) เกิดเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1978 ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ  แลมพาร์ด เกิดมาในตระกูลนักฟุตบอลโดยพ่อของเขา คือ แฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ เป็นอดีตกองหลังทีมชาติอังกฤษ ลุงของเขา แฮรี่ เร้ดแน็ปป์ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการสโมสรฟุตบอล ทอตแนมฮ็อตสเปอร์ และเจมี่ เร้ดแน็ปป์ ญาติลูกพี่ลูกน้องก็เป็นนักเตะของเซาร์แธมตัน แลมพาร์ดโดนเลี้ยงแบบนักฟุตบอล ฝึกทักษะปูทางสู่อาชีพกีฬาลูกหนังตั้งแต่ยังเด็กในวัยเด็ก แลมพาร์ด ที่ฝึกฝนฟุตบอลอย่างหนัก จึงได้เป็นหนึ่งในนักเตะเยาวชนของสโมสรฟุตบอลเวสต์แฮม ที่พ่อของเขาเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ และแฮรี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือเวสต์แฮม ขณะนั้นก็เป็นลุงของเขา จึงมีข่าวลือออกมาว่า เพราะเส้นสายของพ่อ และลุง จึงได้เข้าร่วมทีมแต่แลมพาร์ดก็ลบคำครหาด้วยการแสดงฝีแข้งได้อย่างน่าประทับใจจนได้ลงแข่งแบบจริงจังในปี ค.ศ. 1993 แต่ก็ยังไม่ได้ลงเล่นในชุดใหญ่แต่ทีมสำรองของสโมสร และด้วยฝีเท้าที่โดดเด่น แลมพาร์ดได้ถูกยืมตัวไปเล่นในดิวิชั่นสอง กับทีมสวอนซีโดยแลมพาร์ดลงเล่นกับสวอนซี 9 นัดทำได้ 1 ประตู หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์และพัฒนาฝีมือในดิวิชั่นสองได้กลับมาร่วมทีมกับเวสต์แฮมอีกครั้ง และได้มีโอกาสร่วมเตะกับทีมชุดใหญ่ในปี ค.ศ. 1995 โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ชิพ

แลมพาร์ดลงเล่นอีก 13 นัดในฤดูกาลต่อมา แต่ก็มาโชคร้ายกระดูกขาขวาแตกในนัดปะทะกับ แอสตัน วิลล่า ทำให้ต้องพักรักษาตัวเป็นเวลานาน ในฤดูกาล 1997-1998 แลมพาร์ดที่หายจากอาการเจ็บ และฟิตเต็มที่ก็มาร่วมเตะกับเวสต์แฮมอีกครั้ง ในฐานะนักเตะกับเวสต์แฮมอีกครั้ง ในฐานะนักเตะตัวจริงของทีม และลงวาดลวดลายทั้งหมด 31 นัดทำประตูได้ถึง 4 ประตู กลายเป็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งขวัญใจกองเชียร์ทีมขุนค้อนได้ในเวลาไม่นานนัก และจากผลงานอย่างต่อเนื่องกับเวสต์แฮม ทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดเล็ก ชุดอายุไม่เกิน 21 ปี และสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมโดยทำประตูได้ถึง 9 ประตู

ในฤดูกาล 1998-1999 แลมพร์าดยังคงสร้างชื่อเสียงอย่างต่อเนื่องด้วยการควบคุมเกมกลางสนาม ผสานงานให้ทีมคว้าชัยชนะมาหลายเกมด้วยทักษะที่หาตัวจับยาด ถึงแม้ผลงานของทีมจะไปได้ไม่ไกลนัก แต่กุนซือหลายๆ ทีมก็เริ่มหันมามองแลมพาร์ด โดยในฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้เวสต์แฮม 38 นัด ทำได้ 5 ประตู

ในฤดูกาล 1999-2000 ฤดูกาลนี้เวสต์แฮมผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่าคัพโดยผ่านการคัดเลือกจากถ้วยอินเตอร์โตโต้คัพด้วย ซึ่งแลมพาร์ดก็ยังเล่นให้ทีมอย่างต่อเนื่อง โดยลงเล่นทั้งสิ้น 34 นัด ทำได้ 7 ประตู และเขาก็มีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ เขาลงเล่นครั้งแรกในนัดกระชับมิตรกับเบลเยี่ยมที่ Stadium of Light (Sunderland, England) ในวันที่ 10 ตุลาคมในปี ค.ศ.1999

จุดเปลี่ยนของแลมพาร์ดในฤดูกาล 1999-2000 หลังจากพาทีมตลุยในพรีเมียร์ชิพ โดยปีนี้เจาลงเล่น 30 นัด ทำได้ 7 ประตู แต่ผลงานของทีมก็ไม่น่าประทับใจนัก แต่ว่าหลังจากนั้นแฮร์รี่ ซีเนียร์ พ่อของเขาถํกปลดออกจากเวสแฮมต์ ทำให้แลมพาร์ดไม่มีใจจะอยู่กับเวสแฮมต์ต่อ ประจวบเหมาะกับที่กังเนื้อหอมหลายๆ สโมสรก็ลุมจีบตัวเขาให้ไปร่วมทีมด้วยทำให้แลมพาร์ดตัดสินใจออกจากทีม

ในฤดูกาล 2001-2002 เวสแฮมต์ปล่อยแลมพาร์ดจากทีมมาสู่อ้อมอกทีมใหญ่สโมสรชั้นนำในพรีเมียร์อย่างทีมเชลซี ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 750 ล้านบาทไทย ถือเป็นการตัดสินใจในการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับ "รานิเอ" กุนซือในขณะนั้น และแลมพาร์ดก็ได้เป็นสมาชิกเชลซีอย่างเป็นทางการโดยเซ็นสัญญาในวันที่ 14 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2001 เป็นการเริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลอาชีพครั้งใหม่ที่ท้าทายกว่าเก่าโดยแลมพาร์ดลงเล่นในตำแหน่งที่ถนัด คือมิลฟิลด์ เคียงข้างกับ "เอมมานู-เอล เปอร์ตี" มิดฟิลด์คนเก่งของทีม และการผสานอย่สงลงตัวของสองมิดฟิลด์ตัวเก๋า ทำให้กลายเป็นคู่กองกลางที่แข็งแกร่ง แลมพาร์ดพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพในฤดูกาลแรกของทีมสิงโตน้ำเงินคราม แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อนัดชิงพ่ายกับอาร์เซนอล ซึ่งฤดูกาลนี้เองที่อาร์เซนอล คว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นครั้งที่สองโดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีกทั้งสิ้น 37 นัด ทำได้ 5 ประตูอะ 1 ประตูจาก 4 เกมในยูฟ่าคัพ ถึงแม้ว่าฤดูกาลนี้เขาจะโชว์ผลงานยอดยเยี่ยม แต่ไม่มีชื่อติดทีมชาติไปร่วมฟัตบอลในโลกปี 2002 ที่เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นทั้งๆ ที่แฟนบอลต่างคาดหวังว่าแลมพาร์ดจะได้ไปตลุยศึกใหญ่แน่ๆ สร้างความผิดหวังให้ทั้งตัวแลมพาร์ด และแฟนๆ เป็นอย่างมาก

ฤดูกาล 2002-2003 จากความผิดหวังที่ไม่ได้ร่วมทีมไปฟุตบอลโลกทำให้เขามุกฝึกซ้อมหนักกว่าเดิมเพื่อที่จะได้ร่สมเป็นตัวจริงในทีมชาติอังกฤษ ด้วยที่พยายามอย่างหนักแลมพาร์ดได้สร้างผลงานให้ทีมอย่างยอดยเยี่ยม โดยพาทีมคว้าอันดับที่ 4 ของลีกแย่งตำแหน่งการไปเล่นแชมเปี้ยนลีกให้ทีมได้สำเร็จ โดยฤดูกาลนี้เขาลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 6 ประตู และ 1 ประตูจาก 2 เกมในยูฟ่าคัพ จากผวานที่ดีวันดีคืนในที่สุด แลมพาร์ดก็มีชื่อติดในทีมชาติของทัพนักเตะแห่งสหราชอาณาจักร

แลมพาร์ดยังโชว์ฟอร์มได้ดีในฤดูกาล 2003-2004 ทั้งในนามทีมชาติ และสโมสร โดยแลมพาร์ดลงเล่นในลีก 38 นัด ทำได้ 10 ประตูและอ4 ประตูจาก 14 เกมในยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก และได้รับรางวัลอันดับ 2 นักเตะยอดยี่ยมของ PFA โดยเป็นรอง เธยร์รี่ อองรี นักเตะเวิร์ลคลาสของอาร์เซนอล และปีนี้เองเจายังทำประตูในนามทีมชาติเป็นครั้งแรกในนัดกระชับมิตร พบกับ โครเอเชีย ในวันที่ 20 สิงหาคม ปี ค.ศ.2003 แจ้งเกิดในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษอย่างสวยงามในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร ปี ค.ศ. 2004 ที่ประเทศโปรตุเกส แลมพาร์ดมีชื่อเป็นตัวจริงในฐานะนักเตะคนสำคัญในทีม ลงเล่นนัดแรกพบฝรั่งเศส แลัอังกฤษชนะไป 2-1 โดยแลมพาร์ดทำได้ 1 ประตู ซึ่งนัดต่อมาพบกับสวิตเซอร์แลนด์ เขาก็พาทีมชนะไป 3-0 และนัดที่ปะทะกับโครเอเชีย และแลมพาร์ดก็ยิงอีก 1 ประตูในชัยชนะ 4-2 แต่แล้วอังกฤษก็ต้องตกรอบต่อมาด้วยฝีมือเจ้าภาพในการดวลจุดโทษท้ายเกม
อ้างอิงข้อมูลจากนิตยสาร Sexiest Sportsman

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น